 |
 |
 |
 |
วันเทโวโรหนะ
หมายถึง วันที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงมาจากเทวโลกมาสู่มนุษยโลก
หลังจากที่ได้แสดงธรรมเทศนาโปรดพระมารดา และเสด็จจำพรรษา ณ
ดาวดึงส์พิภพครบไตรมาสแล้ว โดยเสด็จลงทางบันไดสวรรค์ที่ประตูเมืองสังกัสสนคร
ทางตอนเหนือของกรุงสาวัตถี ตรงกับวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ หรือ
วันพระเจ้าเปิดโลก |
 |
เหตุที่เกิดวันเทโวโรหนะนั้น
มีเรื่องเล่าตามอรรถกถาธรรมบทพอจะสรุปได้ว่า |
ภายหลังจากที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้
ทรงเสด็จไปประทับ ณ นครสาวัตถี และทรงแสดงธรรมโปรดประชาชนอยู่เป็นประจำ
จนมีประชาชนอยู่เป็นประจำ จนมีประชาชนจำนวนมากหันมานับถือศาสนาพุทธ
การที่ประชาชนหันมานับถือศานาพุทธด้วย ทำให้เหล่าเดียรถีย์เสื่อมลง
เครื่องสักการะเดียรถีย์เหล่านี้ก็ลดน้อยลงด้วยเช่นเดียวกัน
ทำให้พวกเดียร์ถีย์เดือดร้อนต่างพากันคิดหาวิธีทำลายพระพุทธศาสนา
โดยการกล่าวร้ายพระพุทธเจ้า และเหล่าสาวกบ้าง
แกล้งเบียดเบียนพระสงฆ์และพุทธศาสนิกชนบ้าง
แต่ก็ไม่สามารถทำให้ประชาชนเสื่อมความศรัทธาในพระพุทธศาสนาได้
ในทางกลับกันพวกเดียรถีย์กลับได้รับผลร้ายนั้นเสียเอง
ในที่สุดเหล่าเดียรถีย์จึงคิดแผนการทำลายพระพุทธศาสนาขึ้นอีกอย่างหนึ่ง
โดยอาศัยพระพุทธบัญญัติในข้อที่ว่า
ห้ามมิให้พระสาวกในพระพุทธศาสนาแสดงอิทธิปาฎิหาริย์
ซึ่งเหล่าเดียรถีย์เข้าใจว่าพระพุทธเจ้าคงไม่กล้าฝ่าฝืนข้อห้ามที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้ด้วยพระองค์เอง
จึงช่วยกันกระจายข่าวว่า " พระพุทธเจ้าและเหล่าสาวกสิ้นท่าหมดปาฎิหารย์ไร ๆ แล้ว
จึงงดการแสดง ตรงกันข้ามกับเหล่าคณาจารย์เดียรถีย์ซึ่งมีปาฏิหาริย์
อบรมมั่นคงเต็มี่พร้อมเสมอจะแสดงให้ปรากฎเมื่อไรได้ทุกเมื่อ
ถ้าไม่เชื่อก็เชิญพระพุทธเจ้ามาแสดงปาฏิหารย์แข่งกันดู
ว่าใครจะเก่งกาจสามารถกว่าใคร" |
ข่าวที่เดียรถีย์กล่าวหาพระพุทธเจ้านั้นได้กระจายไปทั้ว
เป็นที่โจษจันของชาวเมืองโดยทั่วไป
บ้างำมรู้แก่นแท้ในพรุพุทธศาสนาก็พากันวิพากษ์วิจารณ์ในทางเสื่อมเสีย
พวกเดียร์ถีย์เห็นว่าพระพุทธเจ้าและเหล่าสาวกเงียบเฉยไม่ออกมาแก้ความ
ก็กล่าวหาพระพุทธเจ้าหนักขึ้นว่า "
พระพุทธเจ้าไม่มีความสามารถในการแสดงอิทธิปาฏิหารย์จึงเงียบอยู่เช่นนี้ไม่กล้ารับคำท้าทายจากเหล่าเดียรถีย์ทั้งหลาย
"
ความนี้ได้รู้ถึงพระพุทธเจ้าในเวลาต่อมาทรงใคร่ครวญว่าหากพระองค์ไม่แสดงปาฏิหารย์ให้เดียรถีย์ประจักษ์แก่สายตา
จะเกิดผลเสียแก่พระพุทธศาสนามากกว่าผลดีเป็นแน่
พระพุทธเจ้าจึงทรงประกาศว่าพระองค์จะแสดงยมกปาฏิหารย์ ณ ต้นมะม่วง ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ
เดือน ๘
เมื่อเหล่าเดียรถีย์ได้รู้ความที่พระพุทธเจ้าที่แสดงอิทธิปาฏิหารย์ก็พากันหวาดกลัว
ต่างกากลวิธีกลั่นแกล้งมิให้พระพุทธเจ้าทรงสามารถแสดงปาฏิหารย์ได้ โดยแบ่งออกเป็น ๓
พวก พวกหนึ่งช่วยกันทำลายต้นมะม่วงในเมืองสาวัตถีจนหมดสิ้น
ส่วนพวกหนึ่งช่วยกันสร้างมณฑปในวัดเพื่อแสดงปาฏิหารย์ของตน
ส่วนอีกพวกหนึ่งให้ช่วยกันประกาศให้ประชาชนไปชมการแสดงปาฏิหาริย์ของพระพุทธเจ้า
และคอยชมความล้มเหลวในการแสดงปาฏิหาริย์ครั้งนี้ |
เมื่อถึงกำหนดที่พระพุทธเจ้าทรงประกาศไว้ ปรากฎว่า
เกิดพายุใหญ่พัดมณฑปของพวกเดียรถีย์พังจนหมดสิ้น
ส่วนพระพุทธเจ้ายังมิได้ทรงมีทีท่าว่าจะแสดงปาฏิหาริย์แต่อย่างใด
และในตอนบ่ายของวันนั้นนายคัณฑะ คนเฝ้าพระราชอุทยานของพระเจ้าปเสนทิโกศล
ได้ถวายมะม่วงผลหนึ่งแก่พระพุทธเจ้าเสียก่อน
เกิดความศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธองค์จึงนำมะม่วงผลนั้นถวายแด่พระพุทธเจ้า
เมื่อพระพุทธเจ้าได้รับมะม่วงสุกผลนั้นจากนายคัณฑะ
ทรงรับสั่งให้พระอานนท์นำมะม่วงสุกผลนั้นไปทำน้ำปานะถวาย
และให้นำเมล็ดมะม่วงวางลงบนพื้นดินบริเวณนั้น
เมื่อทรงฉันน้ำปานะหมดทรงล้างพระหัตถ์ให้น้ำล้างพระหัตถ์รดบนเมล็ดมะม่วงนั้น
ปรากฏว่า ต้นมะม่วงได้งอกขึ้นและใหญ่โดอย่างรวดเร็ว พระพุทธเจ้าทรงรับสั่งว่า
พระองค์จะแสดงปาฏิหารย์ ณ ต้นมะม่วงแห่งนี้
พระพุทธเจ้าทรงเนรมิตช่อไฟและท่อน้ำแล่นเป็นคู่สลับกันไปมาในอากาศรอบต้นมะม่วงนั้น
และทรงเนรมิตบุคคลผู้เหมือนพระองค์ทุกประการขึ้นองค์หนึ่ง
พร้อมกับทรงเปล่งพระฉัพพรรณรังสี
กระจายออกทั่วบริเวณพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมพร้อมกับทรงจงกรมสลับกับพระพุทธนิมิต
เมื่อประชาชนได้เห็นแก่สายตาของตนเองว่าพระพุทธเจ้าสามารถแสดงปาฏิหาริย์ได้เสมอ
ก็เกิดความเลื่อมใสศรัทธากันโดยทั่วไป
ส่วนเหล่าเดียรถีย์นั้นประชาชนต่างพากันสมน้ำหน้าสาปแช่งจนพวกเดียรถีย์นั้นต้องย่อยยับลงไปในครั้งนี้เอง |
ในวันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันเข้าพรรษาพระพุทธเจ้าทรงประกาศว่า
พระองค์จะไปจำพรรษายังดาวดึงส์เทวโลก
เนื่องจากทรงระลึกว่าทรงเทศนาโปรดพระเจ้าสุทโธทนะ พระพุทธบิดา พระนางปชาบดี
พระนางยโสธราพิมพา และพระราหุลราชกุมาร
ตลอดจนประยูรญาติทั้งหลายให้บรรลุมรรคผลตามสมควรแล้ว
แต่ยังมิได้สนองพระคุณพระนางสิริมหามายา พระพุทธมารดา
เนื่องจากพระพุทธมารดาสิ้นพระชนม์ไปตั้งแต่พระองค์ประสูติได้เพียง ๗ วันเท่านั้น
เห็นว่าควรจะสนองพระคุณพระพุทธมารดาให้สมควรแก่พระคุณ
ทรงเทศนาพระอภิธรรมปิฎกโปรดพระพุทธมารดา ตลอดเวลา ๓ เดือน
เมื่อออกพรรษาพระองค์จึงเสด็จลงจากดาวดึงส์เทวโลกมาสู่โลกมนุษย์ ณ
ประตูเมืองสังกัสสนคร โดยมีขบวนเทพยดา และประชาชนตามส่งเสด็จ
และรับเสด็จอย่างสมพระเกียรติ ในวันเทโวโรหนะนี้พระองค์ทรงเนรมิตให้เทวดา มนุษย์
และสัตว์นรก สามารถมองเห็นซึ่งกันและกันได้ |
เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จลงจากดาวดึงส์เทวโลก ในวันแรม
๑ ค่ำ เดือน ๑๑
ประชาชนจำนวนมากต่างพร้อมใจมาเฝ้ารับเสด็จและนำภัตตาหารมาถวายแด่พระพุทธเจ้า
แต่ประชาชนที่มาเฝ้ารับเสด็จนั้นมีจำนวนมาก
บางพวกที่อยุ่ห่างไม่สามารถใส่อาหารลงในบาตรได้ จึงนำข้าวสาลีมาปั้นเป็นก้อน ๆ
แล้วโยนใส่บาตร
จนกระทั่งเป็นประเพณีนิยมมาจนถึงปัจจุบันที่ต้องทำข้าวต้มลูกโยนใส่บาตรในวันเทโวโรหนะ |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น